ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Spiral model

Spiral model
Spiral model

คือ Software Development Process หนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเอาจุดแข็งของ Development Model อื่นที่ดีอยู่แล้วมาประยุกต์ (Waterfall Mode)
ใช้ตีค่าความเสี่ยงที่เกิดเพื่อจะได้ทราบว่าจุดใดมีความเสี่ยงมากน้อยขนาดไหน จะได้หาวิธีลดความเสี่ยง ซึ่งความเสี่ยงเป็นสาเหตุ ที่ทำให้การพัฒนาไม่ประสบความสำเร็จ

Spiral Model
เป็นโมเดลที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก Waterfall Model ที่มีการทำงานเป็นขั้นตอนหากในขั้นตอนแรกวิเคราะห์ความต้องการไม่ดี ไม่ชัดเจน ความเสี่ยงที่ระบบจะถูกพัฒนาไม่ตรงตามความต้องการของลูกค้าสูง กระบวนการนี้จึงนำเอาข้อดีของ Prototype มาผสมผสานให้เกิดคามชัดเจนและมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงในทุกชั้น ทำให้โอกาสที่ระบบจะล้มเหลวมีน้อยลง

ตัวอย่างของ Waterfall Model หรือ The Linear Model

ภายหลังถูกปรับเปลี่ยนเป็นรูปเเบบจําลองบันไดเวียน(Spiral model) เพราะเเบบเก่านั่นติดข้อจํากัดคือ ถ้าพบว่าขั้นตอนไหนผิดพลาดเเล้วตอนเสร็จกระบวนการทั้งหมด จะเเก้ไขไม่ได้เลย ต้องจําเป็นที่จะต้องเริ่มรอบใหม่(Iteration)อีกครั้งนั่นเอง

              Spiral model
จะมีลักษณะแบบก้นหอยเป็นวงๆชั้นๆซ้อนกันอยู่แสดงให้เห็นถึงลักษณะการทำซ้ำ ในแต่ละช้นก็จะมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงและการสร้างตัวต้นแบบ (Prototype) ทำให้ช่วยลดอัตราความเสี่ยงที่จะทำให้โครงการพัฒนาระบบล้มเหลว และ ทำให้เห็นความคืบหน้า

ชั้นรัศมีที่เพิ่มขึ้น หมายถึงค่าใช้จ่ายในการพัฒนาที่เพิ่มขึ้น ยิ่งวงชั้นมากขึ้นเท่าไรค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการพัฒนาระบบนั้นๆก็ยิ่งเพิ่มขึ้นนั่นเอง ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มยอดขึ้นเรื่อยๆจนเกินกําลังของเราได้



สรุปข้อดีของ Spiral Model ได้ดังนี้

1.
ในแต่ละ Cycle มีขั้นตอนประมวลผลที่สิ้นสุดภายใน Cycle เดียว
2.
การวางแผนเพื่อกำหนดทางเดินของ Software Process ในรอบต่อไป
3.
เนื่องจากการพัฒนาอยู่บนพื้นฐานของวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทำให้ระบบนี้สรา้งอยู่บนพื้นฐาน requirement ของลูกค้า
4.
สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะมีการวเคราะห์ความเสี่ยงและเห็นความคืบหน้าของงานชัดเจน
5.
มีความเป็นอิสระต่อกันทางด้านการพัฒนาและการแก้ไขจึงสามารถแบ่งส่วนการพัฒนาเป็น Module ได้

ข้อเสียของ Spiral Model
 
เนื่องจาก Spiral Model ทุก Cycle ของการพัฒนามีการวิเคราะห์และตีค่า ถ้าการวิเคราะห์เกิดผิดพลาด จะทำให้ Software Produce ที่ออกมาผิดพลาดทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในองค์กรทั่วไป

โปรแกรมประยุกต์ที่นิยมใช้ในงานธุรกิจ โปรแกรมประยุกต์ที่นิยมใช้ในงานธุรกิจ ซอฟต์แวร์ประยุกต์(application software)        เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้กับงานด้านต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้โดยตรง ปัจจุบันมีผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ใช้งานทางด้านต่าง ๆ ออกจำหน่ายมาก การประยุกต์งานคอมพิวเตอร์จึงกว้างขวางและแพร่หลาย เราอาจแบ่งซอฟต์แวร์ประยุกต์ออกเป็นสองกลุ่มคือ ซอฟต์แวร์สำเร็จ และซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้งานเฉพาะ ซอฟต์แวร์สำเร็จในปัจจุบันมีมากมาย เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน ฯลฯ          4.1 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ทั่วไป       ซอฟแวร์ประยุกต์ทั่วไป (general purpose software) เป็นซอฟแวร์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับงานให้เหมาะสมกับลักษณะงานของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ เช่น การจัดพิมพ์รายงาน การนำเสนอ เป็นต้น               1) ซอฟต์แวร์ประมวลคำ(word processing software) เป็นซอฟต์แวร์ประยุกต์ใช้สำหรับการพิมพ์เอกสาร สามารถแก้ไข เพิ่ม แทรก ลบ และจัดรูปแบบเอกสารได้อย่างดี เอกสาร...

Tacit Knowledge and Explicit Knowledge

  Tacit knowledge   ( ความรู้ที่ไม่ปรากฏชัดเจน )  คือความรู้ที่ไม่สามารถเขียนหรืออธิบายได้ การถ่ายโอนความรู้ประเภทนี้ทำได้ยาก จำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้จากการกระทำ ฝึกฝน (อยู่ในสมอง เชื่อมโยงกับประสบการณ์ ความเชื่อ ค่านิยม ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ทั้งหมด)     Explicit knowledge  ( ความรู้ที่ปรากฏชัดเจน )  คือความรู้ที่สามารถเขียนหรืออธิบายออกมาเป็นตัวอักษร ฟังก์ชั่นหรือสมการได้ (อยู่ในตำรา เอกสาร วารสาร คู่มือ คำอธิบาย คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ฐานข้อมูล)